การวิเคราะห์งบการเงิน
การวิเคราะห์งบการเงิน
ข้อมูลต่างๆ
ที่ได้จากงบการเงินเป็นข้อมูลที่มีความสำคัญยิ่งในการตัดสินใจดำเนินโครงการ
การวิเคราะห์งบการเงินจึงเป็นกระบวนการสำคัญในการค้นหาข้อเท็จจริงเกี่ยวกับฐานะทางการเงินและผลการดำเนินงานของโครงการ
โดยนำข้อเท็จจริงดังกล่าวมาใช้เป็นส่วนประกอบในการตัดสินใจในการดำเนินโครงการ
7.5.1 วัตถุประสงค์ของการวิเคราะห์งบการเงิน
1) เป็นกระบวนการกลั่นกรองเบื้องต้นในการเลือกโครงการ
2) ช่วยพยากรณ์หรือคาดคะเนฐานะการเงินของโครงการในอนาคต
3) ช่วยประเมินขีดความสามารถในการบริหารการเงินของโครงการ
เมื่อเป็นเช่นนี้ การตีความหรืออ่านงบการเงินจึงเป็นสิ่งสำคัญ
เครื่องมือที่ใช้ในการตีความงบการเงินที่สำคัญเครื่องมือหนึ่งก็คือ
อัตราส่วนทางการเงิน (Financial ratios)
7.5.2 อัตราส่วนทางการเงิน
อัตราส่วนทางการเงิน หมายถึง
การนำรายการที่ปรากฏอยู่ในงบการเงินตั้งแต่สองรายการขึ้นไปมาหาความสัมพันธ์
โดยผลลัพธ์ที่ได้แสดงอยู่ในรูปร้อยละ หรือสัดส่วน หรือระยะเวลา แม้กระทั่งจำนวนรอบ
จำนวนครั้ง เป็นต้น
อัตราส่วนทางการเงินที่คำนวณได้ไม่ให้ความหมายอะไร
นอกจากต้องแปลความหมายโดยการเปรียบเทียบ ซึ่งการเปรียบเทียบกระทำได้ 3 ทาง คือ
1) เปรียบเทียบกับค่ามาตรฐาน
(สำหรับประเทศไทยยังไม่มี)
2) เปรียบเทียบค่าเฉลี่ยของหน่วยธุรกิจประเภทเดียวกันหรือคู่แข่ง
3) เปรียบเทียบกับค่าที่ได้แต่ละปีตลอดอายุโครงการ
7.5.2 ประเภทของอัตราส่วนทางการเงิน
การแบ่งประเภทอัตราส่วนการเงินในที่นี้จะแบ่งตามวัตถุประสงค์ของการบริหารการเงินซึ่งแบ่งได้
4 ประเภทหลัก ๆ ดังนี้
1) อัตราส่วนวัดความคล่องตัวทางการเงิน (Liquidity ratio)
2) อัตราส่วนวัดประสิทธิภาพในการใช้ทรัพย์สิน
(Activity ratio)
3) อัตราส่วนวัดฐานะหนี้สินหรือความสามารถในการก่อหนี้
(Leverage ratio)
4) อัตราส่วนวัดความสามารถในการทำกำไร
(Profitability ratio)
การแบ่งประเภทดังกล่าวเพียงเพื่อความสะดวกแก่ผู้วิเคราะห์ทางการเงินเท่านั้น
การใช้ประโยชน์จากค่าอัตราส่วนทางการเงินไม่สามารถใช้เพียงอัตราใดอัตราหนึ่งเป็นตัวแสดงผลลัพธ์ทางการเงินของการวิเคราะห์ทางการเงิน
จำเป็นต้องอาศัยกลุ่มของอัตราส่วนทางการเงินในการหาข้อเท็จจริงที่เกี่ยวกับฐานะทางการเงินและผลการดำเนินงานของโครงการเป็นสำคัญ
1) อัตราส่วนวัดความคล่องตัวทางการเงิน
(Liquidity Ratio or Ratios of Short-Term Solvency)
ความคล่องตัวหมายถึง ความสามารถชำระหนี้ระยะสั้น ดังนั้น อัตราส่วนประเภทนี้จะวัดความสามารถของโครงการในการจ่ายภาระทางการเงินอันเกิดจากการก่อหนี้ระยะสั้นเมื่อครบกำหนดนั่นคือพิจารณาว่า ทรัพย์สินหมุนเวียนต้องมากกว่าหนี้สินหมุนเวียน
ทรัพย์สินที่สามารถเปลี่ยนเป็นเงินสดได้ง่ายมีจำนวนมากน้อยเพียงใด
เพื่อดูความคล่องตัวทางการเงิน
เพราะหนี้สินหมุนเวียนเป็นภาระที่ต้องชำระเมื่อครบกำหนด
อัตราส่วนทางการเงินต่อไปนี้สามารถบอกได้ว่า
หน่วยธุรกิจหรือโครงการ X
ที่กำลังพิจารณา ดังตาราง 7.1 และ 7.2
สามารถจ่ายชำระภาระผูกพันของหนี้สินหมุนเวียนได้หรือไม่
1.1) อัตราส่วนเงินทุนหมุนเวียน
(Current Ratio)
ปี ค.ศ. 2000
|
|||||
อัตราส่วนเงินทุนหมุนเวียน =
|
ทรัพย์สินหมุนเวียน
|
=
|
761
|
= 1.57
|
|
หนี้สินหมุนเวียน
|
486
|
อัตราส่วน
1.57 ตีความได้ว่า หนี้สินระยะสั้นที่จะครบกำหนด 1
ปี ทุกๆ 1 บาท
มีทรัพย์สินหมุนเวียนที่จะเปลี่ยนเป็นเงินสดภายในเวลา 1 ปี
เช่นกัน จำนวน 1.57 บาท
ที่จะนำมาชำระหนี้ได้ดังกล่าวอีกนัยหนึ่งคือ หนี้สินระยะสั้นคิดเป็น 64% ของทรัพย์สินหมุนเวียน แสดงว่า ถ้าหน่วยธุรกิจต้องเลิกกิจการไป ณ
เวลานั้น เจ้าหนี้ระยะสั้นจะมีส่วนความปลอดภัยอยู่ 36%
อัตราส่วนเงินทุนหมุนเวียนเป็น
ratio ที่นิยมใช้กันมาก
เพราะนอกจากจะเป็นการใช้เครื่องมือวัดความคล่องตัวในการชำระหนี้สินระยะสั้นแล้ว
ยังใช้วัดความปลอดภัยของผู้บริหารการเงินของหน่วยธุรกิจกรณีที่เงินไหลเข้าน้อยกว่าเงินไหลออก
ดังนั้น โครงการลงทุนจำเป็นต้องมีทรัพย์สินหมุนเวียนสำรองไว้เสมอ
โดยเฉพาะทรัพย์สินหมุนเวียนที่เปลี่ยนเป็นเงินสดได้เร็ว
ซึ่งสามารถเรียงลำดับรายการตามความเร็วของการเปลี่ยนเป็นเงินสดได้ดังนี้
- เงินสดในมือและเงินฝากธนาคาร
- เงินฝากเฉพาะที่จ่ายดอกเบี้ยและเงินปันผลปัจจุบัน
- เงินลงทุนชั่วคราว เช่น หลักทรัพย์ที่มีค่าแน่นอน
- ตั๋วรับเงิน เช่น ตั๋วสัญญาใช้เงิน ตั๋วแลกเงิน หุ้นกู้ หรือพันธบัตรที่ครบกำหนดไถ่ถอนภายใน 1 ปี
- ลูกหนี้การค้า
- สินค้าคงคลัง
- ค่าใช้จ่ายล่วงหน้า
อย่างไรก็ตาม
แม้ว่าธุรกิจจะมีอัตราส่วนเงินทุนหมุนเวียนเท่ากัน
แต่โครงการที่มีทรัพย์สินหมุนเวียนส่วนใหญ่เป็นเงินสด
ย่อมมีความคล่องตัวในการจ่ายภาระหนี้สินระยะสั้นได้ดีกว่าหน่วยธุรกิจที่มีทรัพย์สินหมุนเวียนส่วนใหญ่เป็นสินค้าคงคลัง
1.2) หลักการตีความ
ก. ถ้าอัตราส่วนเงินทุนหมุนเวียนมีค่าต่ำกว่าปกติหรือปีที่ผ่านมาอย่างมาก
แสดงว่า อาจประสบปัญหาการชำระหนี้
ข. ถ้าอัตราส่วนเงินทุนหมุนเวียนสูงผิดปกติ
อาจเป็นไปได้ว่า หน่วยธุรกิจไม่ได้ใช้เงินอย่างประหยัด นั่นคือ
อาจมีสินค้าคงคลังมากเกินไป ล้าสมัย ขายไม่ออก
ลูกหนี้ขายเชื่อมีจำนวนมากหรือถือเงินสดเป็นจำนวนมาก
1.3) อัตราส่วนทรัพย์สินคล่องตัว (Quick
Ratio หรือ Acid Test Ratio)
ปี ค.ศ. 2000
|
|||||
อัตราส่วนทรัพย์สินคล่องตัว =
|
ทรัพย์สินหมุนเวียน - สินค้าคงคลัง
|
=
|
492
|
=
|
1.01
|
หนี้สินหมุนเวียน
|
486
|
นักวิเคราะห์ทางการเงินเห็นว่า
สินค้าคงคลังเป็นทรัพย์สินที่มีความคล่องตัวน้อยที่สุดในการเปลี่ยนเป็นเงินสด ratio นี้จะวัดว่า โครงการมีทรัพย์สินที่มีความคล่องตัวมากหรือเปลี่ยนเป็นเงินสดได้เร็ว
(quick assets) มากน้อยเพียงใดในการชำระหนี้สินระยะสั้นที่จะครบกำหนด
จากการคำนวณเห็นได้ว่า
ถ้า ratio ของหน่วยธุรกิจนี้สูงกว่าค่าเฉลี่ยของอุตสาหกรรม
แสดงว่า มีทรัพย์สินหมุนเวียนที่มีสภาพคล่องมากเมื่อเทียบกับคู่แข่ง เจ้าหนี้ระยะสั้นทุก
ๆ 1
บาทหน่วยธุรกิจมีทรัพย์สินหมุนเวียนที่มีสภาพคล่องมากพอที่จะชำระหนี้ได้เร็ว 1.01
บาท ถ้าสามารถจัดเก็บหนี้ได้ตามที่ปรากฏในงบดุล
และขายพันธบัตรที่ถืออยู่ออกไป ก็จะหมดปัญหาภาระหนี้สินระยะสั้น
อาจไม่จำเป็นต้องพึ่งพาเงินจากการขายสินค้าคงคลังมาชำระหนี้แต่อย่างใด ปัญหาอยู่ที่ต้องเก็บหนี้ให้เร็วที่สุด
2) อัตราส่วนวัดประสิทธิภาพในการใช้ทรัพย์สิน
(Activity Ratios)
เป็นอัตราส่วนที่ใช้วัดประสิทธิภาพในการใช้ทรัพย์สินของหน่วยธุรกิจ
โดยเปรียบเทียบยอดขายกับทรัพย์สินประเภทต่าง ๆ ที่ลงทุนไป ซึ่งระดับการลงทุนทรัพย์สินขึ้นกับปัจจัยหลายประการ
อาทิ จำนวนสินค้าคงคลังตอนปลายปีขึ้นอยู่กับสินค้าคงคลังที่มีตอนต้นปี ฯลฯ
ระดับที่เหมาะสมของการลงทุนในทรัพย์สิน
พิจารณาจากยอดขายผลผลิตอันเกิดจากใช้ทรัพย์สินที่ลงทุนจัดหามาใช้ในโครงการ
ผลลัพธ์ของอัตราส่วนที่คำนวณได้จะอยู่ในรูปความเร็วของอัตราการหมุนของการใช้ทรัพย์สิน
อัตราการหมุนของสินค้า อัตราการหมุนของลูกค้า อัตราการหมุนของทรัพย์สินถาวร
ซึ่งจะวัดประสิทธิภาพในการบริหารทรัพย์สินประเภทนั้น ๆ ที่โครงการลงทุนไป
2.1) อัตราการหมุนของทรัพย์สินรวม (Total Asset Turnover)
ปี ค.ศ. 2000
|
|||||||
อัตราการหมุนของทรัพย์สินรวม =
|
ยอดขาย
|
=
|
2,262
|
=
|
1.25
|
||
ทรัพย์สินรวมโดยเฉลี่ย
|
(1,879 + 1,742)/2
|
||||||
อัตราส่วนนี้ชี้ให้เห็นถึงประสิทธิภาพในการใช้ทรัพย์สินทั้งหมดของโครงการ
ถ้าอัตราส่วนนี้มีค่าสูง แสดงว่า ใช้ทรัพย์สินอย่างมีประสิทธิภาพในการผลิตผลผลิตออกขายสู่ตลาด
ถ้าอัตราส่วนนี้มีค่าต่ำ แสดงว่า
มีการใช้ทรัพย์สินถาวรไม่เต็มที่หรือตามหนี้ได้ช้า
ต้องหาทางเพิ่มยอดขายหรือไม่ก็ต้องจัดการนำทรัพย์สินมาใช้ให้เต็มที่
ปัญหาบางประการในการตีความอัตราส่วนนี้คือ การที่อัตราส่วนนี้มีค่าสูงนั้นอาจเกิดจากการใช้สินทรัพย์เก่า
เพราะมูลค่าตามบัญชีของสินทรัพย์เหล่านี้ต่ำกว่าสินทรัพย์ใหม่ที่พึ่งซื้อมาใช้ในโครงการ
ดังนั้น จะมีการลงทุนในทรัพย์สินถาวรเพียงเล็กน้อย อาทิเช่น
หน่วยธุรกิจประเภทค้าส่ง-ค้าปลีก
มักจะมีอัตราส่วนประเภทนี้สูง เมื่อเทียบกับหน่วยผลิตที่มีการลงทุนในสินทรัพย์ถาวรจำนวนมาก
เช่น โรงงานอุตสาหกรรม จากผลลัพธ์การคำนวณปี
2000 เท่ากับ 1.25 ตีความได้ว่า
หน่วยธุรกิจมีอัตราการหมุนของทรัพย์สินรวม 1.25 ครั้ง
ถ้าตัวเลขนี้ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของอุตสาหกรรมย่อมแสดงว่า หน่วยธุรกิจนี้ใช้ประโยชน์จากสินทรัพย์ไม่เต็มที่ ถ้าเราวัดประสิทธิภาพในการใช้สินทรัพย์ถาวรโดยตรง
ก็สามารถกระทำได้โดยปรับสูตรหาอัตราการหมุนของสินทรัพย์ถาวร (Fixed assets turnover)
ปี ค.ศ. 2000
|
|||||
อัตราการหมุนของสินทรัพย์ถาวร
=
|
ยอดขายสุทธิ
|
=
|
2,262
|
=
|
1.59
|
ทรัพย์สินถาวร
|
1,423
|
อัตราส่วนนี้บอกให้ทราบถึงความสามารถในการใช้ทรัพย์สินถาวร
(อาคาร โรงงาน เครื่องมือเครื่องจักร) ถ้าตัวเลขสูงแสดงว่าหมุนได้มากครั้ง
ใช้ประโยชน์จากสินทรัพย์ถาวรได้มากขึ้น อันมีผลให้ค่าเฉลี่ยของค่าเสื่อมราคาสินทรัพย์ถาวรต่อหน่วยลดต่ำลงและทำให้กำไรของหน่วยธุรกิจเพิ่มขึ้น
ผลลัพธ์จากการคำนวณอัตราส่วนนี้เรียกว่า
อัตราการหมุนของสินทรัพย์ถาวร เท่ากับ 1.59
ครั้ง ซึ่งถ้าตัวเลขนี้ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของอุตสาหกรรมย่อมแสดงว่า ใช้ทรัพย์สินถาวรไม่เต็มที่
สาเหตุที่เป็นเช่นนี้อาจเกิดจากยอดขายต่ำเกินไป หรืออาจมีสินทรัพย์ถาวรมากเกินไป
หรือชำรุดเสียหายไม่ซ่อมแซมและใช้การไม่ได้ แต่ยังมีมูลค่าปรากฏในบัญชี
2.2) อัตราการหมุนเวียนของลูกหนี้
(Account Receivable Turnover) และระยะเวลาจัดเก็บหนี้โดยเฉลี่ย
(Average Collection Period)
ปี ค.ศ. 2000
|
|||||||
อัตราการหมุนเวียนของลูกหนี้ =
|
ยอดขายเชื่อ
|
=
|
2,262
|
=
|
8.02 ครั้ง
|
||
ลูกหนี้ถัวเฉลี่ย
|
(294 + 270)/2
|
||||||
ระยะเวลาจัดเก็บหนี้โดยเฉลี่ย =
|
365 วัน
|
=
|
365
|
=
|
45.5 วัน
|
||
อัตราการหมุนเวียนของลูกหนี้
|
8.02
|
||||||
อัตราส่วนทั้งสองสะท้อนถึงนโยบายการใช้สินเชื่อของหน่วยธุรกิจว่าจากยอดขายเชื่อทั้งปีโดยเฉลี่ยจัดเก็บหนี้ได้กี่ครั้ง
ใช้ระยะเวลากี่วัน จากผลลัพธ์การคำนวณหน่วยธุรกิจตามเก็บหนี้ได้ 8.02 ครั้ง โดยใช้เวลา 45.5 วัน ซึ่งถ้าปีที่ผ่านมาใช้เวลาน้อยกว่า 45.5 วัน
ในการจัดเก็บหนี้ก็แสดงว่า ปี 2000 นี้
มีปัญหาในการจัดเก็บหนี้ ต้องเร่งเก็บหนี้
และถ้านโยบายการใช้สินเชื่อไม่ได้เปลี่ยนแปลงแล้ว อัตราส่วนจะชี้วัดว่า
ต้องมีการปรับปรุงกระบวนการจัดเก็บหนี้อย่างมีประสิทธิภาพ
นโยบายการให้สินเชื่อที่เข้มงวดหรือหย่อนเกินไปจะไม่มีผลดี
ถ้านโยบายเข้มงวดเกินไปจะเป็นผลเสียต่อลูกหนี้การค้าที่เป็นลูกหนี้ที่ดี
เพราะจะกีดขวางการขายผลผลิตของหน่วยธุรกิจ กำไรจะลดลง แต่ถ้าใช้นโยบายที่หย่อนเกินไป
คือ ระยะเวลาการเก็บหนี้ยาวนาน ลูกหนี้ค้างชำระเกินกำหนดจะมีจำนวนมาก
และถ้าส่วนใหญ่เรียกเก็บหนี้ไม่ได้ จะกลายเป็นหนี้สูญ ผลคือกำไรจะลดลง ดังนั้น
ควรกำหนดนโยบายการให้สินเชื่อมาตรฐาน
ซึ่งนักวิเคราะห์ทางการเงินมักกำหนดว่าระยะเวลาจัดเก็บหนี้ประมาณ 20 วัน
อย่างไรก็ตามเพื่อให้การจัดเก็บหนี้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ
ควรได้มีการจัดทำตารางอายุลูกหนี้ (Aging
the accounts receivable schedule) อันเป็นตารางแสดงระยะเวลาในการเป็นหนี้ของลูกหนี้
ดังตัวอย่างต่อไปนี้
อายุลูกหนี้ (วัน)
|
อัตราร้อยละของลูกหนี้
|
0 – 2
|
20
|
21 – 30
|
40
|
31 – 45
|
10
|
46 – 60
|
5
|
มากกว่า 60
|
25
|
รวม
|
100
|
จากตารางแสดงให้เห็นว่า
หน่วยธุรกิจนี้ประสบปัญหาในการจัดเก็บหนี้อย่างหนัก โดย 80% ของลูกหนี้เกินกำหนดเวลามาตรฐานในการชำระหนี้
(20 วัน) โดยเฉพาะหนี้อายุเกิน 60 วันมีถึง 25% มีผลให้ระยะเวลาจัดเก็บหนี้ถัวเฉลี่ยเท่ากับ
45.5 วัน
ตารางอายุลูกหนี้มีประโยชน์ในการวิเคราะห์คุณภาพของลูกหนี้
ทบทวนนโยบายการใช้สินเชื่อ วางแผนจัดการลูกหนี้ที่มีปัญหาและตั้งสำรองหนี้สูญ
2.3)
อัตราการหมุนเวียนของสินค้าคงคลัง
(Inventory Turnover) และระยะเวลาในการจำหน่ายสินค้า
(Days in Inventory)
ปี ค.ศ. 2000
|
|||||||||||||||||
อัตราการหมุนเวียนของสินค้าคงคลัง =
|
ต้นทุนสินค้าที่ขาย
|
=
|
1,655
|
=
|
6.03 ครั้ง
|
||||||||||||
สินค้าคงคลังถัวเฉลี่ย
|
(296 + 280)/2
|
||||||||||||||||
สินค้าคงคลังถัวเฉลี่ย =
|
สินค้าต้นงวด + สินค้าปลายงวด
|
||||||||||||||||
2
|
|||||||||||||||||
ระยะเวลาการจำหน่ายสินค้า
=
|
365 วัน
|
=
|
365
|
=
|
60.5 วัน
|
||||||||||||
อัตราการหมุนเวียนของสินค้าคงคลัง
|
6.03
|
||||||||||||||||
อัตราส่วนทั้งสองใช้วัดว่า
หน่วยธุรกิจสามารถผลิตและจัดหาสินค้ามาขายได้กี่ครั้งและแต่ละครั้งที่ขายโดยเฉลี่ยใช้เวลากี่วัน
ยิ่งขายมากครั้งและใช้เวลาสั้นยิ่งดี นั่นคือ
ชี้ให้เห็นถึงอัตราการเคลื่อนไหวของสินค้าคงคลัง ถ้าจำนวนครั้งของการหมุนยิ่งต่ำแสดงว่ามีสินค้าคงคลังเหลืออยู่เป็นจำนวนมากขายไม่ออก
แต่ถ้าจำนวนครั้งของการหมุนยิ่งมากแสดงว่า
สินค้าที่มีอยู่ในมือไม่พอขายตามความต้องการของตลาด
จากผลลัพธ์การคำนวณอัตราส่วนดังกล่าวแสดงว่า
ถ้าปี ค.ศ. 2000 หน่วยธุรกิจมีจำนวนครั้งของอัตราการหมุนของสินค้ายิ่งน้อย
และระยะเวลาการขายสินค้ายิ่งมากเมื่อเทียบค่าเฉลี่ยอุตสาหกรรม
หน่วยธุรกิจจะประสบปัญหาจากการจัดเก็บสินค้าไว้มากเกินความจำเป็นหรืออาจมียอดขายที่ต่ำมาก
ไม่มีประสิทธิภาพในการบริหารสินค้าคงคลัง
3) อัตราส่วนวัดความสามารถในการก่อหนี้
(Leverage ratio)
อัตราส่วนนี้สามารถวัดความแข็งแกร่งทางการเงินและความสามารถในการบริหารการเงิน
และถ้าพิจารณาจากงบดุลแล้วจะเห็นได้ว่า
หน่วยธุรกิจที่มีส่วนของผู้ถือหุ้นมากกว่าหนี้สิน
ย่อมมีฐานะทางการเงินดีกว่าหน่วยธุรกิจที่มีส่วนของผู้ถือหุ้นต่ำกว่ากว่าหนี้สิน อัตราส่วนนี้แบ่งเป็น 3 ประเภทคือ
3.1) อัตราส่วนแห่งหนี้สินรวม
อัตราส่วนแห่งหนี้สินรวม = อัตราส่วนแห่งหนี้สินรวม
ใช้วัดว่าหน่วยธุรกิจมีหนี้สินเป็นกี่เท่าของทรัพย์สิน
นั่นคือทรัพย์สินที่หน่วยธุรกิจจัดหามานั้นได้มาจาการก่อหนี้เท่าไหร่
(1) อัตราส่วนหนี้ – ส่วนผู้เป็นเจ้าของ
อัตราส่วนหนี้
– ส่วนผู้เป็นเจ้าของ =
อัตราส่วนที่แสดงถึงโครงสร้างของเงินทุนว่ากิจการได้รับเงินมาลงทุนจากสัดส่วนของหนี้สินหรือจากส่วนของผู้เป็นเจ้าของ
ตามปกติอัตราส่วนหนี้สินรวมต่อส่วนของผู้เป็นเจ้าของที่อยู่ในเกณฑ์ปกติจะมีค่าเท่ากับ
1 เท่า
คือใช้เงินลงทุนจากเจ้าหนี้และจากเจ้าของเท่า ๆ กัน แต่ไม่จำเป็นเสมอไป
บางกิจการอาจสามารถดำเนินงานได้ดี แม้ว่ามีอัตราส่วนหนี้สินรวมต่อส่วนของผู้เป็นเจ้าของกว่า
1 ก็ตาม หาก
อัตราส่วนนี้มีค่าสูง
ก็แสดงว่าได้รับเงินส่วนใหญ่มาจากเจ้าหนี้ ซึ่งทำให้กิจการมีความเสี่ยงสูงในการชำระดอกเบี้ยและเงินต้น
(2) ตัวคูณส่วนผู้เป็นเจ้าของ
ตัวคูณส่วนผู้เป็นเจ้าของ = อัตราส่วนที่แสดงถึงทรัพย์สินทั้งหมดที่มีอยู่เป็นกี่เท่าของส่วนผู้เป็นเจ้าของ
ถ้ามีค่ามาก นั่นหมายถึง ทรัพย์สินส่วนใหญ่ได้มาจากการก่อหนี้
ฐานะทางการเงินของหน่วยธุรกิจนี้ไม่มั่นคงอัตราส่วนยิ่งสูงยิ่งชี้ว่า
หน่วยธุรกิจอยู่ในสภาพอ่อนแอไม่มั่นคง
(3) อัตราส่วนวัดความสามารถในการจ่ายภาระดอกเบี้ย
อัตราส่วนวัดความสามารถในการจ่ายภาระดอกเบี้ย = อัตราส่วนนี้วัดความสามารถของหน่วยธุรกิจในการนำกำไรก่อนหักภาษีและดอกเบี้ยมาจ่ายดอกเบี้ยแก่เจ้าหนี้
3.2) อัตราส่วนวัดความสามารถจ่ายค่าใช้จ่ายทางการเงิน
อัตราส่วนวัดความสามารถจ่ายค่าใช้จ่ายทางการเงิน
= อัตราส่วนนี้บอกให้ทราบว่า
หน่วยธุรกิจมีกำไรจากการดำเนินงานเป็นกี่เท่าของรายจ่ายตามข้อผูกพันทางการเงิน
4) อัตราส่วนวัดความสามารถในการทำกำไร
(Profitability ratio)
4.1) กำไรขั้นต้น =
คือ
กำไรก่อนหักค่าใช้จ่ายในการขายและบริหาร
4.2) กำไรสุทธิ (Profit after tax) =
กำไรสุทธิ คือ กำไรขั้นต้น- ค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ในการดำเนินงาน - ภาษีที่ต้องจ่าย
4.3) ผลตอบแทนจากกำไรสุทธิ
= ผลลัพธ์ค่าสูงยิ่งดี
แสดงให้เห็นประสิทธิภาพในการดำเนินงานของบริษัทในการทำกำไรหลังจากหักต้นทุนค่าใช้จ่ายรวมทั้งภาษีเงินได้แล้ว
4.4) ผลตอบแทนสุทธิต่อสินทรัพย์รวม ROA = ยิ่งค่ามากยิ่งดี
เป็นอัตราส่วนแสดงประสิทธิภาพในการทำงาน
(Efficiency
Ratio) ROA การวัดความสามารถในการทำกำไรของสินทรัพย์ทั้งหมดที่ธุรกิจใช้ในการดำเนินงานว่าให้ผลตอบแทนจากการดำเนินงานได้มากน้อยเพียงใด
หากมีค่าสูงแสดงถึงการใช้สินทรัพย์อย่างมีประสิทธิภาพ
4.5) ผลตอบแทนสุทธิจากส่วนของผู้ถือหุ้นหรือผู้เป็นเจ้าของ
(Return on Equity : ROE)
ROE
= อัตราส่วนนี้แสดงถึงในรอบระยะเวลาบัญชีที่ผ่านมาผู้ถือหุ้นได้รับผลตอบแทนจากกิจการนี้เท่าไหร่
0 ความคิดเห็น :