ประโยชน์และโทษของการแข็งค่าของเงินบาท
ไม่นานมานี้เราจะเห็นนักธุรกิจไทยเข้าไปลงทุนหรือซื้อหุ้นในต่างประเทศคึกคักมากไม่ว่าจะเป็น คุณเจริญ สิริวัฒนภักดี ที่นำบริษัทในเครือ (TCC ASSET) เข้าไปซื้อหุ้น F&N (FRASER AND NEAVE) จนถือหุ้นถึง 90.32% F&N เป็นบริษัทสัญชาติสิงคโปร์ โดยเสนอซื้อในราคา 9.55 เหรียญสิงคโปร์ดอลล่าร์ (7.71 เหรียญสหรัฐ)/หุ้น F&N นอกจากจะมีธุรกิจเครื่องดื่มทั้งALCOHOL และ NON ALCOHOL แล้วยังมีธุรกิจอสังหาริมทรัพย์และสิ่งพิมพ์ซึ่งมีมูลค่ารวม 13,750 ล้านเหรียญสิงคโปร์(333,000 ล้านบาท) ซึ่งถือว่าเป็นดีลใหญ่ที่สุด ของการเทคเวอร์ในสิงคโปร์เลยทีเดียว ซึ่งการเทคโอเวอร์ครั้งนี้ TCC ASSET ต้องแข่งขันกับคู่แข่งนานาชาติไม่ว่าจะเป็น OVERSEA UNION ENTERPRISE (OUE) บริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์สัญชาติสิงคโปร์โดยร่วมกับ KIRIN บริษัทเบียร์จากญี่ปุ่น โดยถ้าประมูลชนะได้ทาง OUE จะเอาธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ขณะที่ KIRIN จะได้ธุรกิจอาหารและเครื่องดื่มไป แต่ในที่สุด TCC ASSET ของเจ้าสัวเจริญเป็นผู้เสนอราคาสูงสุด และได้ F&N ไปครอง โดยมีการขึ้นราคารับซื้อแข่งกันอยู่หลายครั้ง ซึ่งคาดว่าคงนำมาต่อยอดกับธุรกิจในเครือซึ่งมีทั้งอาหารและเครื่องดื่ม ธุรกิจโรงงานขวดแก้ว ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ในเครือได้เป็นอย่างดี
กลุ่มเจริญโภคภัณฑ์ (CP) นำโดยเจ้าสัวธนินท์ เจียรวนนท์ เข้าซื้อหุ้นของบริษัทผิดอัน ประกันภัย 15.60% จาก HSBCในดีลมูลค่าถึง 9,400 ล้านเหรียญสหรัฐ (282,000 ล้านบาท) ที่ราคา 59 ดอลลาร์ฮ่องกง/หุ้น (255 บาท/หุ้น) โดยทางกลุ่มCP ใช้เงินสดและเงินกู้จาก CHINA DEVELOPMENT BANK
กลุ่มเซ็นทรัลเข้าซื้อกิจการห้างสรรพสินค้าเก่าแก่ 150 ปี ของอิตาลี LA RINASCENTE ด้วยมูลค่า 260 ล้านยูโร(10,000 ล้านบาท) เมื่อ 2 ปีก่อนและล่าสุดได้ไปเทคโอเวอร์ห้างสรรพสินค้า ILLUM ประเทศเดนมาร์คซึ่งมีอายุนานกว่า 12 ปี ซึ่งอยู่ในกลางกรุงโคเปนเฮเกน ด้วยขนาดพื้นที่ 20,000 ตรม. โดยซื้อผ่านทางห้าง LA RINASCENTE
กลุ่ม MINT เข้าซื้อ OAKS HOTELS&RESORTS (OAKS) เป็น HOTEL CHAIN ที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ประเทศออสเตรเลียโดยผ่านทางบริษัทย่อย DELICIOUS FOOD HOLDING ที่จดทะเบียนในสิงคโปร์เมื่อปี 2554
นอกจากกลุ่มดังกล่าวแล้วยังมีอีกหลายธุรกิจที่เข้าไปเทคโอเวอร์ กิจการในต่างประเทศหรือซื้อหุ้นบางส่วน เช่น IVL เข้าซื้อธุรกิจบรรจุภัณฑ์ในประเทศไนจีเรีย ทวีปแอฟริกา เป็นต้น
นี่คืออานิสงค์ของค่าเงินบาทที่แข็งทำให้นักธุรกิจไทยสนใจที่จะไปเข้าซื้อกิจการทั้งที่มีปัญหาและไม่มีปัญหา โดยใช้เงินบาทในจำนวนที่น้อยลง ลองคิดดูสิครับเมื่อต้นปี 2552 ค่าเงินบาทอยู่ที่ 36 บาทกว่าๆ /ดอลลาร์ 4 ปีผ่านมาค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้นเกือบ 20% เจ้าสัวธนินท์ ช่วงนี้เชียร์ธนาคารแห่งประเทศไทยให้ปล่อยค่าเงินบาทให้เป็นไปตามกลไกตลาด อย่าไปสู้กับอัตราแลกเปลี่ยน และแนะใช้ประโยชน์จากการนำเข้าสินค้าทุนในราคาถูกลง ส่วนผู้บริโภคเอง อาจได้อานิสงค์จากการแข็งค่าของเงินบาทไม่มากนักเพราะว่าผู้นำเข้าสินค้าจากต่างประเทศ ส่วนมากมักจะไม่ลดราคาสินค้า จากประสบการณ์ตรงของผม ครีมกันแดดยี่ห้อหนึ่งซึ่งเป็นสินค้านำเข้า ผมใช้ต่อเนื่องมานานหลายปี ตอบค่าเงินบาทเกือบ 40 ล้านบาทกับปัจจุบันที่ต่ำกว่า 29 บาท ผมยังต้องซื้อครีมหลอดนั้นในราคาเดียวกันเลย ไม่รู้ท่านสุภาพสตรีที่นิยมของแบรนด์เนม ผมอยากทราบจริงๆ ว่ากระเป๋าถือที่ท่านซื้อ ทางร้านได้ลดราคาลงมาหรือไม่ โดยเฉพาะใบละหลายๆ แสนบาท จากค่าเงินบาทที่แข็งค่าขึ้นในขณะนี้ ราคาน่าจะปรับลดลงไปอย่างน้อย 30,0000-50,000 บาท
จริงๆ แล้วผมคิดว่า ถ้ารัฐบาลจะฉวยโอกาสที่เงินบาทกำลังแข็งค่ากระตุ้นและส่งเสริมให้หน่วยงานรัฐ รัฐวิสาหกิจ และบริษัทเอกชน เร่งนำเข้าเครื่องจักรใหม่ ที่ลดการใช้พลังงานและหรือลดการปล่อยมลภาวะ โดยให้ลดหย่อยภาษีได้ 1.5-2 เท่าของราคาเครื่องจักร และขึ้นอากรขาเข้าสินค้าฟุ่มเฟือย เพื่อเอาไปโปะส่วนที่จะลดหย่อนภาษีนำเข้าเครื่องจักร ก็น่าจะดีนะครับ
ส่วนโทษของการแข็งค่าของเงินบาท คือ ราคาสินค้าของไทยจะดูแพงขึ้นในสายตาของผู้นำเข้า และนักท่องเที่ยวต่างชาติที่จะเดินทางเข้ามาเที่ยวในประเทศไทยอาจจะต้องใช้จ่ายเงินมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นค่าห้องพัก ถ้าโรงแรมนั้นๆ เสนอราคาเป็นเงินบาท หรือค่าใช้บริการต่างๆ ดังนั้นในภาคเอกชนจะต้องพยายามพัฒนาประสิทธิภาพในการผลิต ให้มีต้นทุนลดลง โดยคุณภาพของสินค้าและบริการไม่ด้อยลง เพื่อให้สินค้าและบริการ แข่งขันกับประเทศคู่แข่งได้ ยิ่งถ้าสามารถพัฒนาและสร้างความแตกต่างของสินค้าและบริการให้เหนือกว่าคู่แข่งด้วย ก็จะสามารถต้านกระแสบาทเข็งได้เป็นอย่างดี ในระยะยาว รัฐบาลควรจะพยายามเปิดตลาดใหม่ในประเทศใหม่ๆ ที่สินค้าไทยไม่เคยเจาะตลาดเหล่านั้นมาก่อน ส่วนทางภาคเอกชนควรจะมีการวิจัยและพัฒนาสินค้าและบริการเพื่อสนองตอบความต้องการที่แท้จริงของลูกค้า ซึ่งจะทำให้แข่งขันได้แม้ค่าเงินบาทจะแข็งค่าขึ้นก็ตาม
ถ้าแนวโน้มการแข็งค่าของเงินบาทยังมีความต่อเนื่องไปเรื่อยๆ เงินทุนจากนักเก็งกำไรก็คงจะไหลเข้ามาอีกค่อนข้างมาก เพราะเขาจะได้กำไร 2 ต่อ คือ ต่อแรกกำไรจากค่าเงินบาทที่แข็งค่าขึ้น เพราะว่าตอนนำเงินเข้ามาใช้เงินดอลลาร์แลกได้บาทมาก แต่พอจะถอนเงินลงทุน เขาจะใช้เงินบาทน้อยกว่าเพื่อแลกเป็นเงินดอลลาร์ และอัตราดอกเบี้ยของไทยเรายังสูงกว่าอัตราดอกเบี้ยของสหรัฐ หรือญี่ปุ่น กรณีเป็น YEN CARRY TRADE ส่วนผมเองก็เริ่มสนใจที่จะซื้อคอนโดที่ลอดดอน หรือย่านแมนชัดต้น ในนิวยอร์ก เพราะว่าใช้เงินบาทน้อยกว่าเมื่อหลายปีที่แล้ว และราคาคอนโดเหล่านั้น ราคายังฟื้นจากราคาต่ำไม่มากเกินไปนักที่ดินในเมืองที่มีจำกัด และกฎระเบียบในการสร้างอาคารสูงที่เข้มงวด น่าจะทำให้ราคาคอนโดเหล่านี้สูงขึ้น เมื่อเศรษฐกิจของอังกฤษและอเมริกาฟื้นตัว ท่านผู้อ่านที่มีบุตรหลานกำลังจะไปศึกษาต่อในต่างประเทศอเมริกา และยุโรปลองเปลี่ยนจากการเช่าอพาร์ตเมนต์ มาเป็นซื้อคอนโดไว้อยู่อาศัยแทน พอบุตรหลานท่านจบการศึกษาใน 4 ปีข้างหน้า ผมมั่นใจว่า ท่านน่าจะขายได้กำไร2 ต่อ คือ ต่อแรกจากราคาที่สูงขึ้น และต่อที่สองคือกำไรจากค่าเงิน ซึ่งผมคิดว่า ค่าเงินบาทน่าจะอ่อนกว่า 29.50 บาทแน่ๆ เพราะว่าภายใน 1 ปี ข้างหน้า FED คงจะถอนมาตรการ QE และธนาคารกลางประเทศอื่นๆ คงจะดำเนินการคล้ายๆ กัน
ขอบคุณ กิติชัย เตชะงามเลิศ
ติดตามแนวทางการลงทุนของผมได้ที่
TWITTER : http://twitter.com/value_talk
YOUTUBE : http://www.youtube.com/user/wittayu9
และ BLOG : http://kitichai1.blogspot.com
หรือหนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์ทุกวันพุธหน้า B6 หรือหน้า B10
และนิตยสารคนรวยหุัน, Condo Guide, Stock Review, Me(Market Evolution), Glow และ Lisa ทุกเดือน
0 ความคิดเห็น :